เทคนิคใช้ Facebook Ads อัปยอดขายให้ปัง

เทคนิคใช้ Facebook Ads อัปยอดขายให้ปัง

เรียนรู้เทคนิคเด็ดในการใช้ Facebook Ads เพื่อเพิ่มยอดขายแบบพร้อมเจาะลึก Algorithm ของ Facebook และกลยุทธ์การตั้งเป้าหมายโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ SME และนักการตลาดดิจิทัลทุกระดับ

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์สูงขึ้น Facebook Ads ยังคงเป็นเครื่องมือที่ช่วยผู้ประกอบการได้มากและไม่ควรมองข้าม แม้หลายคนอาจคิดว่าไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้ว ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แพลตฟอร์ม แต่อยู่ที่วิธีการใช้งานที่ยังไม่เข้าใจ

เราจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่าทำไม Facebook Ads ยังคงมีความสำคัญ ต่อด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของแคมเปญโฆษณา และพร้อมให้ข้อมูล กลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ Facebook Ads

ความสำคัญของ Facebook Ads

Facebook Ads เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจออนไลน์สามารถทำโฆษณาหรือยิง Ads บนแพลตฟอร์ม Facebook เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ Facebook มากยิ่งขึ้น การยิง Ads บน Facebook มีค่าใช้จ่าย แต่ก็เป็นการลงทุนที่ช่วยให้เจ้าของเพจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดตามอายุ เพศ ความสนใจ ที่อยู่อาศัย และปัจจัยอื่นๆ ตามที่ต้องการ

ทำไม Facebook Ads ยังคงสำคัญ?

ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Facebook Ads ยังมีเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและปรับแต่งการโฆษณาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งยังสามารถเลือกวิธีการโฆษณาให้เหมาะสมกับงบประมาณและวัตถุประสงค์ของธุรกิจ ทำให้เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จ

ความสำเร็จของ Facebook Ads ไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ได้แก่

  1. วัตถุประสงค์ (Objective): การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดทิศทางและผลลัพธ์ของแคมเปญ
  2. กลุ่มเป้าหมาย (Audience): การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
  3. ชิ้นงานโฆษณา (Creative): เนื้อหาและรูปแบบของโฆษณาต้องโดนใจและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
9 เทคนิคอัปยอดขายให้พุ่งด้วย Facebook Ads

9 เทคนิคอัปยอดขายให้พุ่งด้วย Facebook Ads

1.ทำความเข้าใจ Facebook Ads Algorithm

หน้าที่สำคัญในการเลือกโฆษณาที่เหมาะสมที่สุดให้แสดงแก่กลุ่มเป้าหมาย โดยคำนึงถึงทั้งประสิทธิภาพและราคาที่เหมาะสม ระบบนี้ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่ใครเสนอราคาสูงสุด แต่ยังคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ

หลักการทำงานของ Algorithm

1.Total Value: เป็นปัจจัยหลักที่ Facebook ใช้ในการประเมินโฆษณา ประกอบด้วย

  • Bidding
  • Estimated Action Rate
  • Relevance Score

2.นโยบายโฆษณา: ทุกโฆษณาต้องเป็นไปตาม Advertising Policy ของ Facebook

3.คุณค่าของโฆษณา: Algorithm ต้องการโฆษณาที่มี “คุณค่า” เพื่อสร้าง interaction ที่มีความหมายระหว่างผู้ใช้งานและโฆษณา

องค์ประกอบสำคัญ

1.Bidding มี 3 รูปแบบให้เลือก

  • Lowest Cost: การประมูลอัตโนมัติเพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดในงบประมาณที่กำหนด
  • Lowest Cost with Bid Cap: ใช้กลยุทธ์ Lowest Cost แต่สามารถควบคุมต้นทุนต่อเหตุการณ์ได้
  • Target Cost: กำหนดราคาประมูลเอง เหมาะสำหรับแคมเปญ App Installs, Conversions, Lead Generation, และ Catalog Sales

2.Estimated Action Rate

  • ระบบคำนวณแนวโน้มที่โฆษณาจะได้รับความสนใจ
  • พิจารณาจากการมีส่วนร่วม เช่น likes, shares, comments, การรับชมวิดีโอ, หรือการคลิก
  • ประวัติของเพจก็มีผล เช่น การตอบ comments อย่างสม่ำเสมอ

3.Relevance Score

  • แปลงมาจาก Estimated Action Rate
  • บ่งบอกว่าโฆษณาได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายมากน้อยเพียงใด

4.Negative Feedback

  • มีผลต่อ Estimated Action Rate
  • พิจารณาจากการรายงาน, การซ่อน, หรือการเลิกถูกใจเพจจากโฆษณา

5.User Value

  • มีผลอย่างมากต่อ algorithm
  • ตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้หลังจากคลิกโฆษณา เช่น การออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว
  • ช่วยป้องกัน clickbait และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้

2.โครงสร้างหลักของ Facebook Ads สำหรับผู้ประกอบการออนไลน์

แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.แคมเปญ (Campaign)

แคมเปญคือระดับบนสุดของโครงสร้าง Facebook Ads ที่กำหนดวัตถุประสงค์หลักของการโฆษณา แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่

1.1.การรับรู้แบรนด์ (Awareness)

  • Brand Awareness: เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสนใจแบรนด์
  • Reach: แสดงโฆษณาให้ได้จำนวนมากที่สุด

1.2.การพิจารณา (Consideration)

  • Traffic: เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือแอพ
  • Engagement: เพิ่มการมีส่วนร่วมกับโพสต์และเพจ
  • App Installs: ส่งเสริมการติดตั้งแอพ
  • Video Views: เพิ่มยอดการรับชมวิดีโอ
  • Lead Generation: เก็บข้อมูลลูกค้าที่สนใจ

1.3.การกระทำที่มีการเปลี่ยนแปลงต่างไปจากเดิม (Conversion)

  • Conversions: การกระทำบางอย่างที่คุณต้องการจากลูกค้าที่ทำบนเว็บของคุณ เช่นกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมซื้อของจากบนเว็บไซต์หรือแอพของเรา
  • Store Visits: โปรโมทธุรกิจกับลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียง
  • Product Catalog Sales: แสดงสินค้าจากแคตตาล็อก

2.ชุดโฆษณา (Ad Set)

ชุดโฆษณาอยู่ภายใต้แคมเปญ เป็นส่วนที่ควบคุมการตั้งค่าสำคัญของโฆษณา:

2.1.กลุ่มเป้าหมาย (Audience)

  • กลุ่มเป้าหมายหลัก (Core Audience)
  • กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง (Custom Audience)
  • กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึง (Lookalike Audience)

2.2.ตำแหน่งการจัดวาง (Placements)

  • Facebook
  • Instagram
  • Audience Network
  • Messenger

2.3.งบประมาณและกำหนดเวลา (Budget & Schedule)

  • งบประมาณต่อวัน (Daily Budget)
  • งบประมาณตลอดอายุการใช้งาน (Lifetime Budget)

2.4.วิธีการประมูล (Bidding)

  • ปรับการนำส่งโฆษณาให้เหมาะสม
  • กลยุทธ์การประมูล: ต้นทุนต่ำสุดหรือต้นทุนเป้าหมาย
  • วิธีการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย

3.โฆษณา (Ad)

โฆษณาคือชิ้นงานที่จะแสดงต่อกลุ่มเป้าหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท

3.1.ใช้โพสต์ที่มีอยู่แล้ว (Use Existing Post)

  • โฆษณาจากโพสต์ที่เผยแพร่บนเพจแล้ว

3.2.สร้างโฆษณาใหม่ (Create Ad)

  • สร้างชิ้นงานโฆษณาใหม่ที่ไม่ปรากฏบนเพจ (Ad Post)

รูปแบบการโฆษณา

  • ภาพเดี่ยว (Single Image)
  • วิดีโอเดี่ยว (Single Video)
  • ภาพสไลด์ (Carousel)
  • คอลเลคชัน (Collection)

เคล็ดลับ

  • หนึ่งแคมเปญสามารถมีหลายชุดโฆษณา และหนึ่งชุดโฆษณาสามารถมีหลายโฆษณาได้
  • หลีกเลี่ยงการสร้างแคมเปญใหม่บ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ค่าโฆษณาสูงขึ้น
  • วางโครงสร้างการโฆษณาที่ดีจะส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยรวม
  • แต่ละแคมเปญควรมีเพียงหนึ่งวัตถุประสงค์เท่านั้น

3.เข้าใจวัตถุประสงค์ของ Facebook Ads

วัตถุประสงค์ แบ่งเป็น 3 แกนหลัก

  1. สร้างการรับรู้ (Awareness): เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์มากขึ้น
  2. สร้างการพิจารณา (Consideration): เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหาข้อมูลเพิ่มเติม
  3. สร้าง Conversion: เพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า

4.เข้าใจการกำหนดกลุ่มเป้าหมายของ Facebook Ads

1.Custom Audience (กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง)

กลุ่มนี้คือลูกค้าที่มีความสนใจในธุรกิจของคุณอยู่แล้ว คุณสามารถสร้างกลุ่มนี้ได้จาก

  • รายชื่อลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
  • ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ
  • ผู้ใช้แอปพลิเคชันของธุรกิจคุณ

ข้อดี: เป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูงในการตอบสนองต่อโฆษณา เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับแบรนด์อยู่แล้ว

2.Lookalike Audience (กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน)

วิธีนี้ช่วยคุณขยายฐานลูกค้าโดยหากลุ่มคนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Custom Audience ของคุณ เช่น

  • คนที่มีพฤติกรรมคล้ายกับผู้ที่เคยส่งข้อความมาที่เพจของคุณ
  • ผู้ที่มีลักษณะคล้ายกับคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณ

ข้อดี: ช่วยคุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ

3.Core Audience (กลุ่มเป้าหมายหลัก)

เหมาะสำหรับธุรกิจใหม่หรือธุรกิจที่ยังไม่เคยเก็บข้อมูลลูกค้ามาก่อน คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ตามปัจจัยต่างๆ เช่น

  • ข้อมูลประชากร (เช่น อายุ เพศ ที่อยู่)
  • ความสนใจ
  • พฤติกรรม

ข้อดี: ให้อิสระในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด เหมาะสำหรับการทดสอบตลาดใหม่

5.สร้างความภักดีด้วย Facebook Custom Audiences

การสร้าง Custom Audiences ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัย

  • การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มยอดผู้ติดตาม
  • การสะสม Custom Audiences ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดค่าโฆษณา
  • การสร้าง Customer Lifetime Value (CLV) โดยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและแนะนำบอกต่อ

เคล็ดลับ: ให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดเพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการได้ดียิ่งขึ้น

6.ขยายฐานลูกค้าด้วย Lookalike Audiences

การใช้ Lookalike Audiences อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลลูกค้าหรือแฟนเพจที่มีอยู่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจจริงๆ
  • ใช้ข้อมูลในปริมาณที่มากพอเพื่อให้ Facebook สามารถสร้าง Lookalike Audiences ที่แม่นยำ
  • ทดลองสร้าง Lookalike Audiences จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เช่น ลูกค้าที่มียอดซื้อสูง ผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมมาก เพื่อหากลุ่มที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

เคล็ดลับ: เริ่มต้นด้วยการสร้าง Lookalike Audience ที่มีความคล้ายคลึง 1% แล้วค่อยๆ ขยายเป็น 2%, 3% ตามลำดับ เพื่อหาจุดที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีที่สุด

7.การกำหนดเป้าหมายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง

การทำ Layered Targeting หรือการกำหนดเป้าหมายแบบซ้อนชั้น ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

  • ใช้ฟีเจอร์ “Narrow Audience” เพื่อจำกัดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลง
  • ผสมผสานหลายปัจจัยเข้าด้วยกัน เช่น ความสนใจ พฤติกรรม และข้อมูลประชากรศาสตร์

ตัวอย่าง: ถ้าคุณขายกล่องแพคเกจจิ้งที่ผลิตจากกระดาษรักษ์โลก นอกจากเลือกกลุ่มคนที่สนใจแฟชั่นแล้ว คุณอาจเจาะจงไปที่คนที่สนใจเรื่องความรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย

ข้อควรระวัง: การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แคบเกินไปอาจทำให้ค่าโฆษณาสูงขึ้น แต่ถ้าสามารถเพิ่มอัตราการขายได้ก็อาจคุ้มค่ากว่าการใช้กลุ่มเป้าหมายแบบกว้าง

8.ใช้ประโยชน์จากการกำหนดเป้าหมายตามเหตุการณ์ชีวิต (Life Events Targeting)

Facebook อนุญาตให้กำหนดเป้าหมายโฆษณาตามเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของผู้ใช้ ซึ่งสามารถเป็นโอกาสทางการตลาดที่ดี

  • เลือกเหตุการณ์ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ
  • ปรับแต่งข้อความโฆษณาให้เข้ากับเหตุการณ์นั้นๆ

ตัวอย่าง: ถ้าคุณขายเฟอร์นิเจอร์ คุณอาจกำหนดเป้าหมายไปที่คนที่เพิ่งแต่งงานหรือย้ายบ้านใหม่

เคล็ดลับ: ทดลองใช้ Life Events Targeting ร่วมกับ Lookalike Audiences เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ

9.ใช้ประโยชน์จากการกำหนดเป้าหมายตามตำแหน่งที่ตั้ง (Location Targeting)

การใช้ Location Targeting อย่างชาญฉลาดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างมาก

  • กำหนดเป้าหมายตามพื้นที่ที่คุณให้บริการหรือส่งสินค้าได้
  • ใช้ฟีเจอร์ “People recently in this location” เพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เพิ่งเดินทางมาในพื้นที่
  • ทดลองใช้ “Geofencing” เพื่อกำหนดรัศมีรอบๆ ตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจ

ตัวอย่าง: ร้านอาหารอาจกำหนดเป้าหมายไปที่คนที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากร้าน และเพิ่มการโฆษณาในช่วงใกล้เวลาอาหาร

สรุป

การใช้ Facebook Ads อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องของการมีงบประมาณมากที่สุด แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจกลไกการทำงานของแพลตฟอร์ม การเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ และการสร้างเนื้อหาที่ตรงใจผู้ชม เทคนิคที่เราได้กล่าวถึงในบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น